ประวัติภาควิชา
ความเป็นมาของภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนทศวรรษแรก
พ.ศ. 2485 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยยังมีผู้รู้จักศาสตร์ของภูมิสถาปัตยกรรมค่อนข้างน้อย แต่ได้เริ่มมีการเปิดสอนวิชาการออกแบบภูมิทัศน์ในหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในชั้นปีที่ 3 โดยมี หม่อมหลวงโสภิต นพวงศ์ เป็นผู้สอนการออกแบบสวนในรูปแบบโบซาที่เป็นที่นิยมของยุโรปในขณะนั้น และได้ยุติการสอนวิชานี้ไปในราว พ.ศ. 2488 หลังจากนั้นได้เริ่มเปิดสอนวิชาภูมิสถาปัตยกรรมในช่วงประมาณ พ.ศ. 2500 โดยบรรจุไว้ในการเรียนชั้นปีที่ 3 ของหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ เป็นวิชาต่อเนื่อง 2 ภาคการศึกษา ผู้สอนคือ อาจารย์จันทร์ลดา บุญยมานพ คนไทยคนแรกที่ ได้ปริญญาโทวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรมจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นรับราชการเป็นสถาปนิกประจำกรมศิลปากร
การก่อตั้งแผนกวิชาภูมิสถาปัตยกรรมขึ้นในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2514 เมื่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีคำสั่งแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร เป็นผู้ดำเนินการขอเปิดสอน แผนกวิชาภูมิสถาปัตยกรรม ตามคำสั่งที่ 62/2514 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2514 หลังจากนั้นได้มีการแต่งตั้งกรรมการ ร่างหลักสูตรจำนวน 8 ท่านใน พ.ศ. 2515 ซึ่งการร่างหลักสูตรและการขออนุมัติได้ดำเนินการเรื่อยมา จนมีประกาศจัดตั้งภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2520 และภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม เริ่มเปิดสอนนิสิตรุ่นแรกเมื่อ พ.ศ. 2521 นับเป็นการเปิดสอนสาขาวิชานี้ครั้งแรกของประเทศไทย
คณะกรรมการร่างหลักสูตรภูมิสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต 8 ท่าน ตามคำสั่งที่ 41/2515 ลงวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2515 ได้แก่
- รองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตนกสิกร เป็นประธานกรรมการ
- ศาสตราจารย์ กระสินธ์ สุวตพันธ์ เป็นกรรมการ (นักพฤกษศาสตร์)
- รองศาสตราจารย์ พัทยา สายหู เป็นกรรมการ (นักสังคมศาสตร์)
- รองศาสตราจารย์สนั่น เจริญเผ่า เป็นกรรมการ (วิศวกร)
- นางจันทร์ลดา น้ำทิพย์ เป็นกรรมการ (ภูมิสถาปนิก)
- นายเดชา บุญค้ำ เป็นกรรมการ (ภูมิสถาปนิก)
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กฤษฎา อรุณวงษ์ฯ เป็นกรรมการ (สถาปนิก)
- อาจารย์ ผุสดี ทิพทัส เป็นเลขานุการ
ต่อมาประธานคณะกรรมการ ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2515 มอบหมายให้อาจารย์เดชา (ขณะนั้นรับราชการที่กรมโยธาเทศบาล) ดำเนินการยกร่างหลักสูตร และรายวิชา (course description) จนกระทั่งปี 2517 อาจารย์เดชา ได้โอนย้ายมาประจำที่คณะสถาปัตย์ โดยได้รับการแต่งตั้งเป็น "กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ" ดำเนินโครงการเปิดสอนปริญญาตรี ภูมิสถาปัตยกรรม เมื่อปี 2518 และโครงการแล้วเสร็จผ่านขั้นสุดท้ายในปลายปี 2519
ช่วงทศวรรษแรก พ.ศ. 2521 – 2530
นิสิตในสาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรม 11 คนแรก มาจากนิสิตที่สอบเข้าได้ในหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ของปีการศึกษา 2521 ซึ่งสมัครใจเปลี่ยนมาเข้าหลักสูตรภูมิสถาปัตยกรรมตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกของการเข้าศึกษา นับเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสู่วิชาชีพภูมิสถาปนิกซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในประเทศไทยช่วงนั้น
จากนั้นหลักสูตร ได้เริ่มเปิดรับ นิสิตเข้าเรียนปีละ 20 คนต่อมาเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับจำนวนนิสิตรับเข้าเป็น 40 คนต่อปีในภายหลัง หลักสูตรการเรียนการสอนที่ใช้ในขณะนั้น มีจำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 177 หน่วยกิต ใช้เวลาศึกษา 5 ปี ครอบคลุมวิชาทางด้านการออกแบบ ด้านการก่อสร้าง ด้านวัสดุพืชพันธุ์ ด้านการปฏิบัติวิชาชีพ และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิชาที่นิสิตให้เวลามากที่สุดคือวิชาด้านการออกแบบและวิชาด้านการก่อสร้าง เพราะเป็นการเรียนการสอนเชิงบูรณาการที่นิสิตจะต้องนำความรู้จากวิชาต่างๆ มาใช้ในการออกแบบ
อย่างไรก็ดี วิชาที่นิสิตตั้งหน้าตั้งตารอได้แก่ วิชาที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ฟิลด์ทริป (field trip) ซึ่งเป็นวิชาพิเศษ ที่จะพานิสิตเดินทางไปดูพื้นที่ต่างๆ ของประเทศเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้นิสิตได้รู้กว้างถึงภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ป่าเขา ซึ่งนิสิตจะได้ใช้เวลา 2-3 วันในพื้นที่ป่าอีกครั้งหนึ่งในวิชาป่าและการป่าไม้ นิสิตภูมิสถาปัตยกรรมในช่วงนั้นจึงรู้สึกว่าตนเองรู้จักป่า ทะเล และ ธรรมชาติมากกว่าเพื่อนๆในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ด้วยกัน
นอกจากการเรียนการสอนแล้ว ด้วยภาระหน้าที่ของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระบุไว้ ซึ่งมีภาระหน้าที่ 4 อย่าง คือ ผลิตบัณฑิต ผลิตงานวิจัยเพื่อความก้าวหน้าของสังคม ให้บริการทางวิชาการต่อสังคม และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม คณาจารย์ของภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรมจึงมีผลงานให้บริการทางวิชาการ แก่หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน ในทศวรรษแรกนี้ ได้แก่ กรมศิลปากร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี กรมการศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น งานวิจัยและบริการทางวิชาการเหล่านี้ถือเป็นการให้ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนด้วย เนื่องจากเป็นการพัฒนาประสบการณ์ให้กับคณาจารย์ที่จำเป็นต้องบูรณาการหลักการสากล เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงในสังคมไทย และในท้องที่ของประเทศไทยด้วยในการผลิตบัณฑิตแต่ละรุ่น
ทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2531-2540)
ช่วงทศวรรษที่สอง ภาควิชายังคงใช้หลักสูตรเดิมในการผลิตบัณฑิต โดยมีการเปลี่ยนแปลงเพียงรายละเอียดในเนื้อหาวิชาบางส่วนและวิธีการเรียนการสอน เพิ่มจำนวนนิสิตรับเข้าเป็นรุ่นละ 40 คน และมีจำนวนอาจารย์เพิ่มมากขึ้น คณาจารย์ผลิตเอกสารคำสอนและตำรามากขึ้น มีผลงานให้บริการทางวิชาการเพิ่มหน่วยงานกว้างขึ้น หน่วยงานที่ได้รับบริการจากภาควิชาที่เพิ่มมากขึ้น เช่น องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี การกีฬาแห่งประเทศไทย กรมป่าไม้ เป็นต้น
ช่วงทศวรรษนี้เป็นช่วงที่ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม จุฬาฯ มีการทำกิจกรรมด้านต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับ สหพันธ์ภูมิสถาปนิกนานาชาติ (International Federation of Landscape Architects - IFLA) ด้วยการมีคณาจารย์ เข้าร่วมประชุมวิชาการในประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซียและเกาหลี มีนิสิตของภาควิชาส่งผลงานเข้าประกวดในระดับนานาชาติ และได้รับรางวัลจากการประกวดแบบเป็นครั้งแรก และ ภาควิชาได้ร่วมกับสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทยจัดประชุมนานาชาติระดับโลก (The 32nd IFLA World Congress) ขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 21-24 ตุลาคม 2538
นอกเหนือจากการประชุมนานาชาติและการส่งนิสิตเข้าร่วมในกิจกรรมนานาชาติเหล่านี้ ช่วงทศวรรษนี้ยังได้มีกิจกรรมแลกเปลี่ยน ทางวิชาการระหว่างนักศึกษาไทยและต่างประเทศ เช่น การทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม จุฬาฯ กับ University of Canberra ในการที่นิสิตของภาควิชาจะไปศึกษาที่ University of Canberra 1 ภาคการศึกษา และรับนักศึกษาจากแคนเบอร่ามาศึกษา 1 ภาคการศึกษาที่จุฬาฯ ในทำนองเดียวกัน ต่อจากนั้นนิสิตก็ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรม ระหว่างประเทศในหลายรูปแบบกับหลายประเทศ เช่น การเข้าร่วมฟังบรรยายพิเศษ การร่วมชั้นเรียนแบบประชุมปฏิบัติการ (workshop) ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ทศวรรษที่สาม (พ.ศ. 2541-2550)
ช่วงทศวรรษที่สามของภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม ได้มีปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในภารกิจของภาควิชา เช่น วิทยาการใหม่ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระแสการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ข้อบังคับสภาสถาปนิกว่าด้วยการรับรองปริญญาฯในการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุม พ.ศ. 2545 สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ภาควิชาต้องมีความสัมพันธ์ทางวิชาการกับองค์กรภายในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น คณาจารย์ต้องเผยแพร่ประสบการณ์และความรู้ต่อสังคมมากขึ้น ตลอดจนมีการประเมินซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรปริญญาตรีและ มีการเปิดสอนระดับปริญญาโทเป็นครั้งแรก
หลักสูตรภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิตมีการประเมินและปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับศาสตร์และสังคมที่เปลี่ยนแปลง ปรับรายวิชาให้นิสิตมีโอกาสศึกษาค้นคว้าตามความสนใจเฉพาะตัวมากขึ้น ได้เรียนในวิชาประเภทสหศาสตร์มากขึ้น และให้นิสิตมีโอกาสทำกิจกรรมนอกหลักสูตรมากขึ้น หลักสูตรปรับปรุงใหม่เริ่มใช้กับนิสิตรุ่นเข้าศึกษาปีการศึกษา 2551 มีจำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 169 หน่วยกิต ประกอบด้วยหมวดการศึกษาทั่วไป 30 หน่วยกิต หมวดวิชาเฉพาะ 133 หน่วยกิต ส่วนที่เหลือเป็นวิชาเลือกเสรี
ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม จุฬาฯ เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2542 โดยรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการออกแบบกายภาพเข้าศึกษาในหลักสูตร ใช้เวลาศึกษา 2 ปี การเรียนการสอนระดับปริญญาโทของภาควิชาเป็นไปตามนโยบายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ต้องการเน้น ให้บัณฑิตระดับปริญญาโทมีความสามารถเชิงสืบค้นและวิจัยด้วยนอกเหนือจากความรู้ด้านวิชาชีพ วิทยานิพนธ์ของบัณฑิตระดับปริญญาโทของภาควิชาจึงทำให้ได้เอกสารงานวิจัยในวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรมของไทยมากขึ้น ซึ่งจะมีผลย้อนกลับไปสู่การเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีด้วย
ด้านวิจัยและการให้บริการวิชาการต่อสังคมนั้น ในช่วงทศวรรษนี้ภารกิจด้านนี้ได้รับการยกระดับความสำคัญมากขึ้น ตามพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษา และตามวิสัยทัศน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแหล่งความรู้และแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน และมุ่งหวังให้การดำเนินงานของภาควิชาในมหาวิทยาลัย มีการบูรณาการ การเรียนการสอน การวิจัย และ การให้บริการทางวิชาการเข้าด้วยกัน
ดังนั้นนอกเหนือจากการทำงานด้านการเรียนการสอนแล้ว คณาจารย์ของภาควิชาจึงจำเป็นต้อง มีผลการดำเนินงานเชิงวิจัย และบริการวิชาการกว้างขวางขึ้นในช่วงทศวรรษนี้ เช่น การศึกษาแนวทางการออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์ทาหลวง การส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่สีเขียวริมถนนสายหลักตาม กฎกระทรวงผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร การศึกษาแนวทางการจัดทำโครงการและออกแบบเส้นทางชมทิวทัศน์ เป็นต้น มีการจัดอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ เช่น การอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการแนวทางในการวางรูปแบบการพัฒนา แหล่งท่องเที่ยว เชิงสุขภาพน้ำพุร้อนธรรมชาติให้สอดคล้องกับ มาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวสุขภาพน้ำพุร้อนธรรมชาติ การอบรมแนวทางการออกแบบเส้นทางชมทิวทัศน์ การอบรมสัมมนาเรื่องหลักการออกแบบและจัดการภูมิทัศน์เมืองเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น
ทศวรรษที่สี่ (พ.ศ. 2551-2560)
จากที่ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม จุฬาฯ เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2542 โดยรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการออกแบบกายภาพเข้าศึกษาในหลักสูตร ใช้เวลาศึกษา 2 ปี จากนั้นใน พ.ศ. 2551 จึงได้เริ่มเปิดหลักสูตรปริญญาโทที่รับนิสิตที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางภูมิสถาปัตยกรรมใช้เวลาศึกษา 1 ปีครึ่ง ซึ่งในปี พ.ศ. 2558 ได้เริ่มให้นิสิตปัจจุบันเลือกเรียนในหลักสูตรปริญญาโทต่อเนื่อง (5+1 ปี) โดยนิสิตภาควิชาในชั้นปีที่ 3 ที่มีผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ สามารถเลือกลงทะเบียนในรายวิชาของหลักสูตรปริญญาโท พร้อมๆไปกับเรียนในชั้นปี 4 และปี 5 ควบคู่ไปและต่อเนื่องในหลักสูตรปริญญาโทได้ต่อเนื่องอีก 1 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี นับเป็นการมุ่งเน้นให้นิสิตสามารถเลือกกลุ่มวิชาที่ตนเองสนใจและมีความถนัดเพื่อสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้มากขึ้น เป็นการพัฒนาบัณฑิตตามนโยบายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีความรู้ด้านวิชาชีพและวิจัย
ณ ทศวรรษนี้ ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการทำกิจกรรมด้านต่างประเทศมากขึ้นเป็นลำดับ ความสัมพันธ์กับ สหพันธ์ภูมิสถาปนิกนานาชาติ (International Federation of Landscape Architects - IFLA) ด้วยการมีคณาจารย์ เป็นตัวแทน (National Delegate, Council member) เป็นตัวแทนทางด้านวิชาชีพและวิชาการร่วมประชุมกับนานาประเทศที่เป็นสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ และภาควิชาเป็นเจ้าภาพร่วมกับสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทยจัดประชุมนานาชาติระดับภาคพื้นเซียแปซิฟิค (The 2011 IFLA Asia-Pacific Regional Congress) ขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 18-21 มกราคม 2554 มีนิสิตของภาควิชาเป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน Student Charllette และร่วมงาน Workshop ระดับนานาชาติหลายครั้งกับหลายมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกา เอเซีย ยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาค ASEAN และได้รับรางวัลจากการประกวดแบบอีกหลายครั้งในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัล ASLA Awards ประเทศสหรัฐอเมริกา และ SILA Awards ประเทศสิงคโปร์
ในขณะที่กิจกรรมด้านวิชาการและองค์กรวิชาชีพในทศวรรษนี้ของภาควิชาฯ มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างดี ไม่ว่าคณาจารย์ภาควิชาฯได้ร่วมเป็นกรรมการและอนุกรรมการในสภาสถาปนิก สาขาภูมิสถาปัตยกรรม ทั้งจากการแต่งตั้งและเลือกตั้ง นิสิตจากภาควิชาฯ สอบข้อเขียนในการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในสัดส่วนที่น่าพอใจ นอกจากนี้หลักสูตรทั้งปริญญาตรีและโทผ่านการรับรองหลักสูตรจากสภาสถาปนิก ทำให้บัณฑิตและนิสิตเก่าจากภาควิชาฯ ได้เป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพในภาคส่วนต่างๆ และในงานสำคัญในระดับชาติและนานาชาติอย่างมากมาย
ในทศวรรษนี้ท่ามกลางกระแสความรวดเร็วของเทคโนโลยีและสังคมออนไลน์ ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรมได้มีการพัฒนาระบบการสื่อสาร การเรียน การสอนให้ทันสมัย ได้แก่ การร่วมมือกับ สกอ. จัดให้มี E-Learning ของภาควิชาฯ เฟสบุ้คเพจ ไลน์ของภาควิชา อีกทั้งพัฒนาเว็บเพจให้ทันสมัย และสามารถประสานประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในแต่ละปีมีนิสิตศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและโทจำนวนถึงกว่า 270 คน บัณฑิตจากภาควิชาปีละ 40 คน มหาบัณฑิตอีก 10-15 คน มีอาจารย์ประจำทั้งสิ้น 12 คน คณาจารย์อาวุโสจากทศวรรษที่ก่อตั้งภาควิชาหลายท่านทยอยเกษียณอายุไป แต่ยังคงแวะเวียนมาสอนถ่ายทอดประสบการณ์ที่ภาควิชาฯ ในขณะเดียวกันเริ่มมีคณาจารย์รุ่นใหม่เข้าร่วมในภาควิชาฯ เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษนี้ที่มีคณาจารย์ที่จบทั้งหลักสูตรปริญญาตรีและโทจากภาควิชาโดยตรงมาสอนเป็นอาจารย์ประจำในภาควิชาฯ ต่อเนื่องจากรุ่นบุกเบิก
นอกจากนี้ทางภาควิชาฯ ยังมีการให้บริการทางวิชาการถ่ายทอดความรู้สู่สังคม ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ และสร้างเครือข่ายทางด้านวิชาการ วิชาชีพ เช่น การร่วมกับเครือข่ายเปิดโรงเรียนต้นไม้ ด้านรุกขกร(ดูแลต้นไม้) คณาจารย์ภาควิชาฯ ร่วมเป็นอนุกรรมาธิการ กรรมาธิการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในหน่วยงานรัฐต่างๆ อีกทั้งให้ความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชนในกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่และบูรณาการองค์ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคมไทย “สร้างปัญญา และถ่ายโอนองค์ความรู้กับสาธารณะ” เพื่อช่วยพัฒนาสังคมไทยไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืนในประชาคมโลก และ สืบสานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม อันจะเป็นฐานนำไปสู่การทำงานในทศวรรษต่อๆ ไป
ทศวรรษที่ห้า (พ.ศ. 2561-2570)
ท่ามกลางกระแสการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การหยุดชะงักบางอย่างเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต (Disruption) ภาวะปกติใหม่ (New Normal) ภาควิชาฯได้เสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการและประสานความร่วมมือกับสหสาขาวิทยาการ เพื่อให้คณาจารย์และผลผลิตจากภาควิชาฯ สามารถแก้ปัญหา และตอบโจทย์ต่างๆ ได้ทันต่อสถานการณ์ต่างๆขึ้น
ในทศวรรษนี้ภาควิชาฯ ได้ริเริ่มก่อตั้งหน่วยวิจัยหรือ Research Unit ขึ้นมา ชื่อว่า หน่วยวิจัยภูมิทัศน์เชิงสุขภาวะและชีวสัมพันธ์) HEAL-BiP - Healthy Landscape and BioPhilic Planning - Research Unit หน่วยวิจัยภูมิทัศน์เชิงสุขภาวะและชีวสัมพันธ์นี้จะเป็นแพลตฟอร์มของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตในระดับบัณฑิตศึกษา เพื่อพร้อมจะขับเคลื่อนวิชาการสู่สังคม เพื่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อมที่ดี และเป็นศูนย์วิจัยที่สามารถนำทฤษฎีแนวคิดใหม่ๆ ทางด้านภูมิสถาปัตยกรรม สู่การปฏิบัติ เผยแพร่ต่อสาธารณะต่อไป
นอกจากนี้ ภาควิชาฯ ได้เปิดหลักสูตรปริญญาเอก รุ่นแรก ขึ้นในภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2567 ในรุ่นนี้ยังเป็นแผน 1 (ผู้ที่จบ ป.ตรี ป.โท ทางด้านภูมิสถาปัตยกรรมมา) และในภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2568 มีการเปิดรับทั้งแผน 1 และแผน 2 (รับผู้ที่จบ ป.ตรี ป.โท ในสาขาวิชาสถาปัตยกรรม การออกแบบชุมชนเมือง เคหพัฒนศาสตร์ หรือในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง)
* ขอขอบพระคุณศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ สำหรับข้อมูลการก่อตั้งภาควิชาในช่วงแรก